หนึ่งวันกับการจับสลากอีสเตอร์

เมื่อวันพฤหัสที่แล้ว (1 เมษายน) เป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนก่อนปิดเทอมหน้าฤดูใบไม้ผลิ ก่อนวันศุกร์ Good Friday แน่นอนว่าโรงเรียนมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลองอีสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพของพระผู้เป็นเจ้า ทั้ง การทำ การ์ดอีสเตอร์ ไข่ ลูกไก่น้อย ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่

แต่สิ่งที่เด็กทุกคนตื่นเต้นและรอคอยมากกว่า กิจกรรมอีสเตอร์เหล่านั้น คือ การจับสลากรางวัลในวันสุดท้ายของอาทิตย์ต่างหาก ทุกคนจะกำเงินที่ได้มาจากผู้ปกครอง และซื้อสลากที่เหมือนกับตั๋วเลขเป็นแถบๆ ไว้ลุ้นกับรางวัลใหญ่ในวันสุดท้าย...และนั่น ทำให้การเรียนการสอนในอาทิตย์สุดท้าย แผ่วลงกว่าทุกอาทิตย์ที่สอนในโรงเรียน

สำหรับเราที่ทำงานกับเด็กพิเศษ การที่มีสิ่งตื่นเต้นอย่างนี้เข้ามา จะทำให้เราต้องใจเย็นมากถึงมากที่สุด เพราะความตื่นเต้น และ การที่รอให้ถึงวันที่จับสลากนั้นของเด็กที่เราดูแลนั้น จะต่างจากคนอื่น

ทุกวันๆ ทั้งอาทิตย์ เราจึงเฝ้าตอบคำถาม ว่า เมื่อไหร่ จะจับสลาก และ ต้องคอยดึงสมาธิของเด็กให้อยู่กับเรามากขึ้นกว่าปกติ เพราะในขณะเดียวกัน เด็กก็ใช้ตรงนี้เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจที่จะไม่ต้องเรียน (ฉลาดเป็นกรดชัดๆ)

นอกจาก การลุ้นฉลากอีสเตอร์แล้ว เรายังเพิ่งมารู้เอาวันพุธ ว่ามีการจัดให้ บ้านที่สะสมคะแนนได้เยอะที่สุด กินพิซซ่าในห้องโถง ซึ่งสำหรับเด็กๆ ถือว่าเป็นสิ่งพิเศษมาก เพราะตั้งแต่กลับมาเรียน ทุกคนต้องกินข้าวในห้องเรียนของตัวเอง เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโควิด

อ้อ ส่วนเรื่องทีมคะแนนของบ้าน ให้ลองคิดถึง หนัง แฮรี่พอตเตอร์ที่นักเรียนแต่ละคนจะมีบ้าน ทางโรงเรียนจะใช้ ระบบนี้เป็นการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม เหมือนอย่างเช่น เวลาเราทำอะไรที่คุณครูคิดว่า เป็นสิ่งพิเศษจะมี เฮาส์พอยท์ที่เราช่วยกันสะสมได้ ดังนั้น การได้กินพิซซ่าในขณะที่คนอื่นๆ กินข้าวในห้องตัวเอง และแถมด้วยอภิสิทธิ์ในการได้เล่นในสนามหญ้า จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้วันนั้น...รวมถึง เด็กที่เราดูแล

เราต้องคอยกั้นประตูห้องโถง เพื่อไม่ให้เด็กเข้าไป คุณครูทุกๆคนในโรงเรียนจะบอกว่าเรา เหมือน พวกการ์ดที่ห้ามคนเข้าคลับ ที่ทำตัวพองๆ ให้ดูน่ากลัว และสกัดกั้นคนลักลอบเข้าในผับ แต่ผิดที่ว่า เราตัวเล็ก และใช้ความไวในการกั้นประตูแทน บ่อยครั้ง เราก้าวถอยหลังไวๆ และบล็อกประตู ก่อนเด็กจะเดินมาถึง เพราะเด็กที่เราทำงานด้วย ตัวเล็ก และไว เราจึงต้องคิดเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่งเสมอ

แน่นอน...เมื่อเด็กรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในทีมที่สามารถกินพิซซ่าได้ เราจึงถูกเด็กกระฟัดกระเฟียดใส่อย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมกับคำพูดติดปากที่มักพูดเวลาไม่ได้ดั่งใจว่า

“วันนี้เป็นวันแย่ที่สุด”

แล้วเวลาที่ทุกคนต้องการก็มาถึง เราส่งเด็กเข้าห้องไปรวมกับเพื่อนๆในห้อง ส่วนตัวเรา วิ่งจู๊ดกลับไปเคลียร์งาน ด้วยความที่เป็นวันสุดท้ายของการเปิดเทอม

พอเรากลับออกมาอีกห้านาทีถัดมา เด็กทุกคนบอกเราด้วยความดีใจ ว่า เด็กที่เราดูแล ถูกฉลาก และ เราพลาดเห็นหน้าตาของเขาเวลาที่ตั๋วที่ตัวเองถือไว้ ได้รางวัล

แน่นอนว่าไม่ใช่รางวัลที่หนึ่ง แต่มันคือรางวัลที่สามที่เป็นกระต่ายช็อกโกแลตตัวย่อมๆ

แต่นั่นก็มีคุณค่ามากพอ ทำให้เด็กคนนั้นตื่นเต้น และจดจ่ออยู่กับรางวัลที่ได้

เราก็พอจะรู้ว่า เด็กต้องตื่นเต้นมากแน่ๆ และที่สำคัญ เราคงจะสอนอะไรก็ไม่เข้าหัวแน่ๆ

ยามบ่าย จึงเป็นเวลาที่เราใช้ เป็นการตบรางวัลให้ เล่นไอแพดได้ โดย มีเรานั่งอยู่ในห้อง วางแผน การเรียนการสอนอะไรของเรา คลุกเคล้ากับเสียง ยูทูปโปรแกรมเด็กที่เล็ดลอดออกมา

และเราซ่อนรางวัลพิเศษไว้

เป็นพิซซ่าชิ้นยักษ์ที่เราตัดแบ่งไว้จาก ส่วนของครู (อ้อ พวกครูๆ ก็ได้กินพิซซ่าเหมือนกัน แล้วชิ้นของมันจัมโบ้มากๆ)

เรา หยิบพิซซ่ายักษ์ครึ่งชิ้นที่เราห่อ กระดาษไว้ แล้วบอกกับเด็กว่า นี่เป็นรางวัลพิเศษ สำหรับการตั้งใจเรียนมาตลอดทั้งภาคเรียน และ ย้ำ ว่า นี่ เป็น พิซซ่าจากห้องพักครูที่เราตัดแบ่งไว้ เพราะเราไม่อยากให้เด็กเข้าใจว่า ถึงไม่ได้ อยู่บ้านนั้น แล้วเรายักยอกพิซซ่ามาให้

แล้วสิ่งที่เราคาดไม่ถึง

เด็กเข้ามากอด...กอดเราแน่นมาก จนหายใจไม่ออก (คงจะอยากกินพิซซ่ามากจริงๆ)

เมื่อถึงเวลาก่อนกลับบ้าน เราจึงพาเด็กไปรับรางวัลที่ตัวเองถูกสลากไว้ เราเห็นใบหน้าที่ยิ้มจนแก้มฉีก เมื่อรับของรางวัลมา แต่เมื่อเรามอง... มันไม่ใช่กระต่าย แต่มันคือไข่อีสเตอร์ที่ใหญ่มาก

แล้วความสงสัยของเราก็คลี่คลาย เมื่อเด็กหญิงผมหยักศกถือกระต่ายช็อกโกแลตไว้ในอุ้งมือตัวเอง พร้อมกับบอกเราสั้นๆ ว่า เธอไม่ชอบช็อกโกแลตรสส้ม เลยเปลี่ยนของรางวัลกับเด็กของเราที่เป็นกระต่าย

เธอได้รางวัลที่สอง

เราฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม และ ทำไม่รู้ไม่ชี้อะไร และ กล่าวขอบใจสั้นๆ กับการเป็นคนมีน้ำใจ

ในใจเราไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ว่าเธอไม่ชอบช็อกโกแลตรสส้ม เพราะครั้งก่อนเธอก็ใจดีเอาของเล่นในบ้านใส่ถุงมาให้เด็กคนนี้ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่สลับของรางวัล

เราก็เชื่อว่าแม้กระต่ายที่เธอได้จะเล็กลง แต่มีสิ่งยิ่งใหญ่ที่เติบโตในร่างๆ เล็กๆ ณ วินาทีนั้น

และเป็นอีกวัน ที่ จังหวะเล็กๆ แบบนี้ ทำหัวใจเราพองโตเสมอ เมื่อทำงานในโรงเรียน

  • by กิตติยา แอนดรูว
  • | Lifestyles
OTHER POSTS FROM