ซีรีส์เกาหลี Move to Heaven
ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Move To Heaven
แนว: ดราม่า สืบสวนสอบสวน
ความยาว: 10 ตอน
นักแสดง: Lee Je-hoon | Tang Joon-sang | Lee Jae-wook | Ji Sung-hee | Hong Seong-hee
เขียนบท: Yoon Ji-ryeon
กำกับการแสดง: Kim Seong-ho
ช่องทางเผยแพร่: Netflix
วันที่ออกอากาศตอนแรก: 2021-05-14
เรื่องย่อ
ฮันกือรู ชายหนุ่มอายุ 20 ปี ผู้มีอาการ Asperger Syndrome เขาเป็นคนที่รู้จักหลักการและเหตุผล มีระเบียบวินัยเคร่งครัด และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง จดจำรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างแม่นยำและเรียบเรียงความคิดเชื่อมโยงได้เป็นอย่างดี จัดว่าเป็นอัจฉริยะประเภทหนึ่ง แต่เขาไม่เข้าใจและไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกและการแสดงออกทางอารมณ์ของคนอื่นได้
ฮันกือรูกับพ่อของเขาฮันจองอูช่วยกันทำธุรกิจเล็กๆ เก็บกวาดสิ่งที่เหลืออยู่ มีชื่อว่า Move to Heaven ธรรมเนียมปฏิบัติของ Move to Heaven ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ คือ ก่อนลงมือทำงานจะต้องเอ่ยชื่อผู้ล่วงลับและวันที่เสียชีวิต บอกชื่อตัวเองกับพวกเขาว่ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายครั้งสุดท้าย นอกจากนั้นสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนบริษัทอื่นทำ นั่นก็คือ การเลือกเก็บสิ่งของบางชิ้นของผู้ล่วงลับ ส่งมอบต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลัง นับเป็นภารกิจที่ Move to Heaven ไม่เคยละเลยสักครั้งเดียว
ฮันกือรูได้เรียนรู้จากคำสอนของพ่อที่ว่า คนตายก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาได้ ถ้าเราพยายามและตั้งใจฟังให้ดี กล่องสีเหลืองที่ประทับตรา Move to Heaven จึงไม่ใช่เพียงแค่กล่องเก็บของ แต่เป็นกล่องแห่งความทรงจำรำลึก เป็นร่องรอยที่ยืนยันการมีตัวตนของบุคคลหนึ่ง ที่อาจจะไม่ใช่บุคคลสำคัญของโลกหรือของทุกคน แต่อาจมีความสำคัญยิ่งใหญ่สำหรับบางคน
เคสแรกในซีรีส์ที่กือรูทำงานกับพ่อ ได้แสดงให้เห็นว่าฮันกือรูมีความละเอียดรอบคอบ ช่างสังเกตและจดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เขาสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ด้วยการใช้หลักเหตุและผล แต่เขาจะบกพร่องในด้านการเชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึก เขาไม่เข้าใจว่าการที่คนร้องไห้เพราะเสียใจ หรือว่า ดีใจกันแน่ เขาเข้าใจว่าคนที่ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินเป็นอาหารเย็นเพราะชอบกินมัน แต่พ่อค่อยๆ สอนเขาให้สังเกตเพิ่มมากขึ้นไปอีก แล้วจะเห็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเขา ทำไมเขาถึงไปซื้อข้าวห่อสาหร่ายในเวลาเดียวกันทุกวันอังคาร แทนที่จะกินบะหมี่สำเร็จรูปที่มีอยู่ที่บ้าน เขาอาจจะชอบพอกับพนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อที่เข้ากะในวันนั้นและช่วงเวลานั้นก็ได้ อันนี้ในซีรีส์ไม่ได้บอกแต่อยู่ในมโนคิดของฮันจองอู
โดยไม่คาดคิดฮันจองอูผู้เป็นพ่อก็มาจากไปอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว คำพูดประโยคสุดท้ายที่พ่อบอกกับฮันกือรูทางโทรศัพท์ก็คือ "พ่อขอโทษ ที่ไม่สามารถทำตามสัญญาได้" เมื่อพ่อมารับฮันกือรูไม่ได้ ฮันกือรูก็ขับรถออกไปตามหาพ่อ (ฉากนี้สะเทือนใจมาก) ฮันกือรูที่ไม่เคยชอบให้ใครแตะเนื้อต้องตัว ไม่ค่อยยอมให้พ่อกอด หลังพิธีฌาปนกิจพ่อของเขา ฮันกือรูกลับกอดโถใส่เถ้ากระดูกของพ่อไว้แน่น ไม่ยอมนำไปทำพิธีฝัง บอกแค่ว่าจะพาพ่อกลับบ้าน ทุกคนปล่อยให้กือรูได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อให้นานที่สุดเท่าที่อยากจะทำ เขาก็ท่องประโยคสุดท้ายที่พ่อบอกกับเขาว่า “พ่ออยู่กับกือรูเสมอ” เขาท่องมันซ้ำๆ ขณะกอดโถเถ้ากระดูกของพ่อเอาไว้แน่น
โจซังกูอาของฮันกือรูซึ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ กลายมาเป็นผู้ปกครองดูแลเขาตามพินัยกรรมที่พ่อของฮันกือรูเขียนไว้ ตอนแรกโจซังกูไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ แต่เมื่อเขารู้ว่าสามารถจัดการทรัพย์สินของพี่ชายได้ ในฐานะผู้ดูแลกือรู เขาก็ยอมตกลงตามข้อเสนอ ทนายให้เวลาสามเดือนในการทดสอบว่าโจซังกูจะสามารถรับผิดชอบปกครองดูแลฮันกือรูได้หรือไม่
กือรูหวงแหนพื้นที่ของพ่อ ห้องนอนของพ่อ เก้าอี้นั่งของพ่อ อาหารเช้าของพ่อ จานชามถ้วยน้ำที่พ่อใช้ กือรูไม่ให้ใครแตะต้องทั้งนั้น อาก็ไม่สามารถนอนในห้องนอนของพ่อได้ เก้าอี้ที่พ่อนั่งกินอาหารเช้ากับกือรู จานชามช้อนส้อม ถ้วยน้ำ ทุกสิ่งที่เป็นของพ่อ อาหยิบมาใช้ไม่ได้ อาต้องทำกับข้าวกินเอง หาเต๊นท์มากางนอนเองในห้องนั่งเล่น
ฮันกือรูมีเพื่อนบ้านแสนดีอย่างนามู ที่ช่วยเหลือสอดส่องพฤติกรรมอันแสนไม่น่าไว้วางใจของโจซังกู และแอบหนีแม่มาช่วยทำงานใน Move to Heaven ด้วย โดยที่พ่อของเธอรู้เห็นเป็นใจด้วยในการช่วยเหลือกือรูที่ต้องอยู่ลำพังคนเดียวกับอาที่มีท่าทางแปลกประหลาดไม่น่าไว้วางใจ
ยุนนามูแอบสอดส่องและติดตามโจซังกูไปจนรู้ความลับของโจซังกูว่าเป็นนักมวยเถื่อน มีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนบ้านที่ทำร้ายร่างกายแฟนสาว ยุนนามูเกิดวิตกกังวลว่าโจซังกูจะมาทำร้ายร่างกายของฮันกือรูด้วยเหมือนกัน ความไม่ไว้วางใจทำให้ยุนนามูแอบวางเครื่องรับเสียงแบบอินเทอร์โฟนสำหรับเด็กเล็กไว้ในห้องนั่งเล่น เพื่อคอยฟังได้ว่าโจซังกูคุยกับใครหรือติดต่อใครบ้าง
นิสัยที่ต่างกันสุดขั้วของอากับหลานคู่นี้ ทำให้ในระยะแรกอาจจะมีปัญหายู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อฝ่ายหนึ่งช่างสังเกตและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา กับอีกฝ่ายที่เลือดร้อน พลุ่งพล่านและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก พวกเขาก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆ และเหตุการณ์อันตรายมาด้วยกัน เป็นคู่ความขัดแย้งที่ถูกประสานเข้ากันอย่างลงตัว ฮันกือรูมีพัฒนาการมากขึ้น เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกคนอื่นด้วยการสังเกตรายละเอียด และเขาสามารถแสดงความรู้สึกจากภายในใจตนเองได้
ความคิดของโจซังกู ตั้งใจจะขายบ้านหลังที่กือรูอยู่นี้ เขาต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อรับผิดชอบความผิดพลาดในอดีต ที่เขาเคยชกคิมซูโชลน็อคไปและนอนเป็นผัก เขาจึงขโมยโฉนดบ้านไปวางแลกกับเงิน มาดามยื่นข้อแลกเปลี่ยนให้เขาขึ้นชก เขายอมเซ็นสัญญาเพื่อเงินก้อนนั้น แต่แล้วแม้จะมีเงินกลับช่วยชีวิตคิมซูโชลไว้ไม่ได้ หลังเสร็จงานศพของคิมซูโชลแล้ว โจซังกูเก็บข้าวของสำคัญมอบให้น้องสาวของคิมซูโชลแล้วหยิบกระดาษวินิจฉัยอาการเมาหมัดของคิมโซชอลกลับมาด้วย เขาจึงหนีไปเพื่อทำงานหาเงินเก็บมาไถ่ถอนโฉนดและชำระหนี้สินที่คั่งค้าง
สำหรับกือรูแล้ว อาเป็นครอบครัวคนเดียวที่กือรูเหลืออยู่ เมื่อครอบครัวหายไปก็ต้องออกตามหา ฮันกือรูออกตามหาอาจนถูกจับตัวไปเป็นตัวประกัน โจซังกูถูกบังคับให้ขึ้นชกมวยเถื่อนอีกครั้งเพื่อแลกกับอิสระของฮันกือรูและโฉนดบ้าน วันถัดมาเขาตามฮันกือรูไปในวันปิกนิคประจำปีที่ฮันกือรูมักจะทำกับพ่อ แล้วพบว่ากิจกรรมที่กือรูเคยทำร่วมกันกับพ่อในวันนั้นมาตลอด 20 ปีนั้น คือทุกคำสัญญาที่พี่ชายของเขารับปากจะทำให้เขาในวันเกิด นอกจากนั้นเมื่อโจซังกูได้พบเอกสารการรับกือรูเป็นลูกบุญธรรม กระทบจิตใจของโจซังกูจนทำให้เขาเปลี่ยนท่าทีและทำดีกับกือรูมากขึ้น
วันนัดชกมาถึงโจซังกูทำอาหารเช้าให้ฮันกือรู ทำให้ฮันกือรูคลางแคลงใจว่า อาจะไม่ตายใช่ไหม? เพราะนามูบอกว่าคนที่ใกล้ตายมักจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม โจซังกูบอกว่าเขาไม่ได้กำลังจะตาย แต่ฮันกือรูต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองเวลาที่ไม่มีอาอยู่ใกล้ๆ เมื่อนามูมาถึงพวกเขาก็บอกว่าอาแปลกไปจริงๆ ตอนที่นามูช่วยกือรูทำความสะอาดห้องและข้าวของในเต้นท์ของอา ก็พบเข้ากับกระดาษเอกสารวินิจฉัยโรคเมาหมัด ทำให้เขาต้องรีบไปช่วยอาออกมา และติดต่ออัยการสาวให้ช่วยเหลืออาของเขา
เขายังคงเข้าใจว่าอาของเขาเป็นโรคเมาหมัดและเขากลัวว่าอาจะตายและจากเขาไปเหมือนพ่อ เขาขอคำยืนยันว่าอาไม่ได้โกหกเขา อาเลยตอบว่าพ่อโกหกเพราะรักและไม่อยากให้เป็นห่วง แต่อาไม่ได้รักกือรูอาเลยไม่ต้องปิดบังหรือโกหกอะไร กือรูบอกว่าไม่ต้องรักกือรูก็ได้ แค่อย่าโกหกก็พอ
หลังจากอากลับจากโรงพยาบาลกือรูก็ทำกับข้าวให้อากิน และเชื้อเชิญให้อานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับเขาข้างๆ ที่นั่งของพ่อ กินข่าวไม่ถึงคำ ทนายโอก็มาหาที่บ้าน บอกกับกือรูว่าถึงเวลาต้องทำพิธีฝังพ่อไว้เคียงข้างกับแม่แล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป กือรูเข้าห้องปิดประตูไปทั้งวัน จนค่ำแล้วอาพังประตูเข้าไปเพราะความเป็นห่วง พบว่ากือรูปีนหน้าต่างหนีไปแล้ว ทุกคนช่วยกันตามหากือรูก็ไม่พบ อามองเห็นภาพนึกได้จึงไปตามหาข้อมูลที่ปูซาน ที่พี่ชายเขาเคยเป็นพนักงานดับเพลิง จนได้รู้ประวัติที่มาของการพบกันของฮันจองอูและกือรูที่ถูกทิ้งไว้ในแท้งก์เก็บนำ้ตั้งแต่แรกคลอด โจซังกูตามหากือรูจนเจอที่พิพิธภัณฑ์สัตว์นำ้ที่ปูซาน ที่ๆ เขาเคยมากับพ่อและแม่ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก่อนที่จะย้ายไปโซล
ในที่สุดฮันกือรูก็เก็บข้าวของพ่อลงในกล่อง และพบคลิปวิดีโอที่พ่อบอกกือรูว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ทุกๆ วันกือรูต้องบอกตัวเองในกระจกว่าทำงานยอดเยี่ยมแล้ว ประสบการณ์จากการทำงานเหล่านี้ล้วนช่วยขัดเกลาและดึงจิตใต้สำนึกของโจซังกูได้ตระหนักถึงสายใยของความรักและความผูกพัน ของคนที่ยังมีลมหายใจ การทำดีต่อกันให้เหมือนเราใช้ชีวิตเป็นวันสุดท้ายบนโลก การบอกรักกัน ขอบคุณและขอโทษ ทำให้ไม่มีสิ่งใดติดค้างเมื่อระลึกถึงกัน โจซังกูมีจิตใจที่ละเอียด อ่อนโยนมากขึ้น เป็นห่วงใยและใส่ใจกือรูจากก้นบึ้งหัวใจอย่างแท้จริง
เหตุผลที่แนะนำให้ดูเรื่องนี้
1. ภารกิจ คำสัญญา และการเดินทางครั้งสุดท้าย ตีแผ่ปัญหาสังคม
เคสต่างๆ ที่ Move to Heaven ต้องเข้าไปเก็บกวาดล้วนตีแผ่ปัญหาสังคมยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่แรงงานระดับล่างและสวัสดิการในการรักษาพยาบาลที่ไม่เป็นธรรม การทอดทิ้งผู้สูงอายุให้ใช้ชีวิตตามลำพัง การกดขี่ทางเพศและใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง การที่พ่อแม่ไม่ยอมรับว่าลูกเป็นกลุ่มรักร่วมเพศ สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ บุคคลไร้สัญชาติ ภารกิจที่ยังไม่สำเร็จของผู้ล่วงลับ ถูกนำมาร้อยเรียงเข้ากับปมปัญหาของตัวละครหลักได้อย่างแนบเนียน ในจังหวะการดำเนินเรื่องไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไปและคลี่คลายทุกปมปัญหาโดยไม่ค้างคาใจคนดู
Kim Seon-U นักศึกษาหนุ่มที่ทำงานชั่วคราวในโรงงานเพื่อเก็บเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัยไปด้วย เขามีความฝันว่าหลังเรียนจบจะสามารถหางานประจำทำได้ กลับต้องมาเสียชีวิตจากบาดทะยักเพราะไม่ได้รักษาบาดแผลฉกรรจ์ตั้งแต่แรก หัวหน้างานปฎิเสธความรับผิดชอบ เขาไม่ได้รับค่าชดเชยจากการคุ้มครองสวัสดิการแรงงานอย่างเป็นธรรม
Lee Yeong-Sun หญิงชราผู้ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม อาศัยอยู่คนเดียวตามลำพัง ถอนเงินจากบัญชีทุกสัปดาห์เพื่อเอาไปซื้อสูทให้ลูก เสียชีวิตอย่างเดียวดายเป็นเวลาถึงสามสัปดาห์กว่าเพื่อนบ้านจะแจ้งเจ้าหน้าที่และติดต่อลูกชายคนเดียวให้มาจัดการข้าวของที่เหลือ
Lee Seon-Yeong ครูอนุบาลที่แสนใจดี เป็นที่รักของเด็กๆ ทุกคนในชั้นเรียน โชคร้ายมาพบกับผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิง เมื่อเธอบอกเลิกกับเขากลับกลายเป็นหายนะและจุดจบของชีวิตเธอ
Jung Soo-Hyun แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินที่พบรักกับนักเชลโลหนุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุในวันคริสต์มาส ทั้งสองวางแผนจะไปซานฟรานซิสโกด้วยกัน แต่เมื่อวันเดินทางมาถึงแพทย์หนุ่มกับปฏิเสธที่จะขัดแย้งกับครอบครัว เขาบอกว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวที่พ่อแม่เลือกให้ และนั่นทำให้แฟนหนุ่มของเขาเดินทางจากไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเวลาผ่านไปเขาวางแผนซื้อตั๋วเพื่อจะไปดูคอนเสิรต์ของแฟนหนุ่มที่จะบินกลับมาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งซื้อตั๋วเครื่องบินเตรียมไว้เพื่อเดินทางตามกลับไปซานฟรานซิสโก เขาเตรียมจดหมายและแหวนคู่ แต่สุดท้ายความตายก็มาพรากเขาไปจากแผนการณ์ทุกอย่างที่เขาได้ตระเตรียมไว้
Kim In-Su ยามรักษาการณ์และผู้ดูแลอาคารวัยชรา ถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง เมื่อเขาขาดงานเพราะต้องไปตรวจสุขภาพหลังได้รับอุบัติเหตุถูกผู้เช่าอาคารขับรถชน เขากลับถูกให้ออกจากงานเพราะไม่มาปฏิบัติหน้าที่ เขาจึงไปรับภรรยาที่ป่วยและรักษาตัวในโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านด้วยกัน และทั้งคู่ก็ตัดสินใจจบชีวิตไปพร้อมกัน พวกเขาไม่มีลูกหลาน ไม่มีญาติพี่น้อง พวกเขามีแค่กันและกัน ไม่มีใครที่อยู่ข้างหลังจะนึกถึง ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่ชื่อ Min-Ji เธอเป็นคนเดียวที่ร้องไห้เมื่อทราบข่าวการจากไปของลุงคิมอินซู
Matthew Green ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตัวไปอุปการะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก เมื่อพ่อแม่ผู้อุปการะไม่ได้จัดการขอสัญชาติให้ เขาก็ถูกโยนออกมาในกลุ่มคนต่างด้าวไร้สัญชาติ เขาเดินทางกลับมาประเทศเกาหลีอย่างคนไร้สัญชาติ ทั้งสัญชาติอเมริกันและสัญชาติเกาหลี เพราะเขาไม่เคยได้ขึ้นทะเบียนเป็นเด็กที่เกิดในเกาหลีมาก่อน เขาต้องการตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด เขาให้เอเย่นต์ติดต่อแม่ที่แท้จริงแต่กลับได้รับการปฏิเสธจะให้พบ ความเข้าใจผิดทำให้เขานึกว่าผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของตน เขาพยายามจะไปหาเพื่อพูดคุย แต่ก็ไม่กล้าพอ สุดท้ายเขาเสียชีวิตในห้องเช่าเล็กๆ ด้วยอาการโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
2. ทุกคนล้วนมีตัวตนในความทรงจำของคนอื่น
มนุษย์แต่ละคนล้วนมีคุณค่าและมีความหมายกับบางคน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขาย่อมทิ้งร่องรอยให้คนอื่นได้มองเห็น บางคนอาจจะปลูกต้นไม้ระหว่างทางเดินที่ผ่านไปนั้น เพื่อให้คนข้างหลังได้ชื่นชมความงามของมัน บางคนอาจจะแค่แผ้วทางทางให้เตียนโล่งเพื่อให้คนข้างหลังได้เดินตามรอยทางนั้นอย่างสะดวกราบรื่น ภารกิจทั้ง 6 เคสของ Move to Heaven มีผู้รับกล่องสิ่งของสำคัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ
เคสพิเศษคือ คิมซูโชล นักมวยที่มีอาการเมาหมัดและอยู่ในภาวะสมองตาย จากการชกมวยเถื่อนครั้งสุดท้ายกับโจซังกู เขาต้องการเงินไปเปิดร้านขายของชำกับพ่อ แต่สุดท้ายความฝันของเขาก็ไม่ได้เป็นจริง เมื่อเขาต้องมานอนเป็นผักไม่รับรู้ ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย สุดท้ายเมื่อโคม่าอีกครั้ง น้องสาวของเขาปล่อยเขาไป หลังพิธีศพโจซังกูเก็บของสำคัญบางอย่างใส่กล่องและมอบให้น้องสาวของซูโชล
เคสปิดท้ายตอนจบของเรื่อง ฮันจองอู ผู้ก่อตั้ง Move to Heaven และพ่อของฮันกือรูที่หัวใจวายไปตั้งแต่ Ep.1 ใน Ep.10 ฮันกือรูก็สามารถตัดใจได้ จัดการเก็บข้าวของพ่อได้พบคลิปวิดีโอสั่งเสียของพ่อ สุดท้ายก็ยอมนำเถ้ากระดูกของพ่อไปทำพิธีฝังเคียงข้างกับแม่ของเขา
3. พัฒนาการของตัวละครที่ถ่ายทอดจากมุมมองของคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
คนที่จากไปจะมีความหมายและเป็นคนสำคัญ ก็ต่อเมื่อคนที่อยู่ข้างหลังยังให้คุณค่าและระลึกถึง แม้ฮันจองอูหัวใจวายไปตั้งแต่ Ep.1 แต่เขากลับเป็นตัวละครที่เชื่อมเรื่องราวความผูกพันระหว่างฮันกือรูและโจซังกู ตลอด 9 ตอนถัดมาของซีรีส์ ฮันกือรูเผชิญกับการจากไปของพ่อ ซึ่งสำหรับเขาแล้วพ่อคือโลกทั้งใบของกือรูและเขาไม่ใช่คนที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้โดยง่าย เขายังจำคำพูดของพ่อที่ว่าพ่ออยู่กับกือรูเสมอ เขาท่องประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีคิดถึงพ่อ เขาก็จะเข้าห้องพ่อมากอดโถเถ้ากระดูก เขาอาจจะกำลังเสียใจที่เมื่อตอนพ่อมีชีวิตอยู่ เขาได้กอดพ่อน้อยเกินไปอยู่ก็ได้
โจซังกู ตลอดยี่สิบปีที่เติบโตมาอย่างเด็กกำพร้า เขาผูกใจเจ็บคิดว่าพี่ชายลืมสัญญาและทอดทิ้งเขามาตลอด แต่นั่นเป็นเพราะชะตากรรมจากอุบัติเหตุทำให้ทั้งสองถูกพรากจากกัน แม้เมื่อได้เจอกันอีกครั้งยังไม่ทันได้พูดจากัน พี่ชายก็มาด่วนจากไปกะทันหัน ทิ้งภาระให้เขาเป็นผู้ดูแลฮันกือรูต่อไป ตอนแรกเขาไม่ไยดีต่อฮันกือรูแต่ความใกล้ชิดผูกพัน ทำให้เขาเป็นห่วงเป็นใยฮันกือรูอย่างแท้จริง และเมื่อเขาได้พบว่าพี่ชายไม่เคยลืมเลือนเขาเลยและฮันกือรูเป็นเด็กที่พี่ชายรับมาเลี้ยง ยิ่งทำให้โจซังกูตระหนักได้ว่าพี่ชายไม่เคยทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเขาเริ่มทำดีกับฮันกือรูมากขึ้น
4. ทุกคนต่างมีบาดแผลและต้องการเยียวยา
ทั้งฮันกือรูและโจซังกูต่างมีบาดแผลในใจ ฮันกือรูสูญเสียพ่อซึ่งเหมือนโลกทั้งใบของเขาไปอย่างกะทันหัน ธุรกิจที่ทำเกี่ยวข้องกับความตาย เขามองเห็นความโดดเดี่ยวพลัดพราก ดังนั้นเขาจึงใส่ใจอาโจซังกูครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่เป็นอย่างดี เขากลัวว่าถ้าอาไม่รักษาแผลอาจจะเสียชีวิตด้วยบาดทะยักไปเหมือนนักศึกษาหนุ่ม การที่อาหายตัวไปอาจจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น ฮันกือรูบอกกับยุนนามูว่า เมื่อสมาชิกในครอบครัวเราหายไป เราต้องออกตามหา หรือแม้กระทั่งอาการป่วยของอา ฮันกือรูไม่ต้องการให้อาปกปิดเกี่ยวกับสุขภาพของอา เขาไม่ต้องการให้อาจากไปและทอดทิ้งเขาไว้ตามลำพังอีก
โจซังกูเองก็มีบาดแผลในใจที่ถูกพี่ชายทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาปิดกั้นตัวเอง ไม่ผูกพันไม่เกี่ยวข้องกับใคร เพราะเขาไม่ต้องการผิดหวังเพราะการถูกทอดทิ้งไปอีก แต่เมื่อต้องมาอาศัยอยู่ร่วมบ้านกับกือรู กำแพงที่เขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันความผิดหวังจากคนใกล้ชิดก็พังทลายลง เขากลายเป็นคนที่อ่อนโยนมากขึ้น ใส่ใจความรู้สึกและให้เกียรติคนอื่นมากขึ้น ที่สำคัญเขาช่วยเหลือฮันกือรูให้ปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ส่งมอบกล่องความทรงจำของ Move to Heaven แก่บุคคลสำคัญของผู้ล่วงลับได้สำเร็จทุกครั้ง
ฉากที่ประทับใจที่สุดคือ Ep.10
จุดคลี่คลายในตอนจบเมื่อตัวละครหลักฮันกือรูที่กลัวบุคคลที่รักมาตายจากไปกะทันหันและทอดทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวเหมือนแม่และพ่อที่มาด่วนจากไป เขายอมปล่อยวางเพื่อส่งพ่อไปสู่สุคติ ฮันกือรูจึงทำหน้าที่ของพนักงาน Move to Heaven อีกครั้ง เก็บกวาด เก็บข้าวของสำคัญของพ่อลงในกล่องความทรงจำสีเหลือง ยอมนำเถ้ากระดูกของพ่อไปทำพิธีฝัง
ความทรงจำทำให้บุคคลนั้นไม่เคยจากเราไปไหนและอยู่ในหัวใจของเราเสมอ เขาจดจำคำพูดของพ่อได้อย่างแม่นยำว่า “แม้จะมองไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่กับเรา ตราบใดที่ยังระลึกถึง พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยจากไปไหน